Conflict & Violence

ชวนเพื่อนมาอ่านต่อ เรื่อง Conflict & Violence

Conflict หรือความขัดแย้ง หมายถึง ปฏิสัมพันธ์ที่มีลักษณะของความไม่เป็นมิตรหรือตรงกันข้ามหรือไม่ลงรอยกันหรือความไม่สอดคล้องกัน ลักษณะของความไม่ลงรอยกันหรือไม่สอดคล้องกันนี้จะเกี่ยวข้องกับประเด็นต่างๆ หลายประเด็น เช่น เป้าหมาย ความคิด ทัศนคติ ความรู้สึก ค่านิยม ความสนใจ ความสัมพันธ์ เป็นต้น

ส่วน Violence คือ ความรุนแรง เป็นพฤติกรรมหรือการกระทำใดๆ ก็ตามที่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ทั้งทางร่างกาย วาจา จิตใจ หรือทางเพศ และนำมาซึ่งอันตรายหรือความทุกข์ทรมานต่อผู้ถูกกระทำทั้งด้านร่างกายและจิตใจ

การจัดการความขัดแย้งมีหลากหลายวิธีการ อยู่ที่ความขัดแย้งเรื่องนั้น พื้นที่นั้นเลือกใช้ในการหาทางออกอย่างสันติไม่วิธีใดวิธีหนึ่ง เรามาดูรูปแบบทั้ง 9 รูปแบบมีอะไรบ้าง ถ้าพิจารณาเรื่องความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนใต้/ปาตานี เพื่อนๆคิดว่าการจัดการความขัดแย้งตามแนวทางสันติวิธีอยู่ในรูปแบบใด

1. การเจรจาไกล่เกลี่ยโดยคนกลาง เป็นกระบวนการที่คู่กรณีซึ่งอาจจะเป็น รัฐ บุคคล หรือกลุ่มบุคคลใช้ในการแก้ไขปัญหา โดยสมัครใจมาพูดคุย การเจรจาต่อรอง คือ การต่อรองแบบประณีประนอม โดยรูปแบบสันติวิธี เพื่อหาข้อตกลงร่วมกัน

2. การเจรจาต่อรอง เป็นกระบวนการของบุคคลที่ต้องการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี เพื่อให้เกิดการประนีประนอม พยายามหาข้อตกลงที่ยอมรับได้ของคู่สนทนาทั้ง 2 ฝ่าย โดยมีการเสนอข้อแลกเปลี่ยน ซึ่งนำผลประโยชน์มาให้ทั้ง 2 ฝ่าย (Win-Win) โดยการเจรจาต่อรอง

3. การใช้อนุญาโตตุลาการ เป็นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยวิธีการตัดสินโทษผู้ทำหน้าที่ในการตัดสิน เรียกว่า “อนุญาโตตุลาการ” อย่างไรก็ตาม แม้กระบวนการอนุญาโตตุลาการจะมีผู้ตัดสินโทษ แต่กระบวนการนี้ก็ต่างไปจากระบบการตัดสินโทษของศาล คือ อนุญาโตตุลาการสามารถหาข้อมูลอื่นมาพิจารณาเสริมได้ โดยไม่ต้องใช้เฉพาะประเด็นที่ฟ้องร้องกันอยู่ และผลของการตัดสินของอนุญาโตตุลาการนั้น คู่กรณีจะนำไปปฏิบัติหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่า ในช่วงที่ตกลงกันได้มีการเขียนสัญญาไว้

4. กระบวนการนิติบัญญัติ สืบเนื่องจากความขัดแย้งในบางกรณีเกิดขึ้นเพราะผู้คนได้รับความเดือนร้อนจากข้อกฎหมายที่ล้าสมัย หรือกฎหมายที่เอื้อผลประโยชน์ให้กับคนบางกลุ่มเช่น กฎหมายป่าสงวน ที่ถูกกำหนดขึ้นและบังคับใช้ภายหลังจากที่ผู้คนได้เข้าไปใช้ประโยชน์จากป่ามาหลายปีแล้ว กฎหมายนี้ก็ออกกฎมาภายหลังในการห้ามไม่ให้ผู้คนเข้ามาใช้พื้นที่ ฉะนั้นทางแก้ไขเพื่อระงับความขัดแย้งนี้

5. การเจรจาไกล่เกลี่ยข้ามวัฒนธรรม เป็นการเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อให้คู่กรณีที่ต่างวัฒนธรรมกันได้รับผลประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย โดยมีบุคคลที่สามทำหน้าที่เป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยซึ่งบุคคลที่สามนี้จำเป็นต้องเรียนรู้วัฒนธรรมของคู่กรณี และจะต้องเป็นคนที่เปิดกว้างรับความแตกต่างทางด้านชาติพันธุ์ ชนชั้น เพศ และศาสนาได้ นอกจากนั้นการเลือกใช้ภาษาในการเจรจาไกล่เกลี่ยก็เป็นกุญแจสำคัญ โดยคนกลางต้องเลือกใช้ภาษาที่สามารถทำให้ทุกฝ่ายเข้าใจได้

6. การสานเสวนา คือ กระบวนการกลุ่มในการจัดการกับความขัดแย้งที่อาศัยบุคคลที่สามช่วยทำหน้าที่อำนวยการให้เกิดการพูดคุยสนทนากันระหว่างกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องในสถานการณ์ความขัดแย้ง มุ่งเน้นการลดอคติและสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างผู้เข้าร่วม

7. การไต่สวน คือ แนวทางนี้เป็นวิธีที่มุ่งเน้นการจัดการข้อพิพาทระหว่างประเทศเกิดขึ้นจากผลการประชุมสันติภาพครั้งแรกที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ สาระสำคัญเกี่ยวกับการไต่สวนว่า หากประเทศคู่กรณีทั้งสองประเทศไม่สามารถตกลงกันได้โดยทางการทูตอันเนื่องมาจากมีความเห็นขัดแย้งกัน ให้จัดตั้งคณะกรรมาธิการไต่สวนขึ้นอำนวยความสะดวกในการศึกษาวิเคราะห์ปัญหา โดยหาข้อเท็จจริงอันแน่ชัดด้วยการสืบสวนที่ปราศจากความลำเอียงและด้วยความบริสุทธิ์ใจ

8. การไม่ให้ความร่วมมือ คือ การไม่ให้ความร่วมมือมีเจตจาเพื่อหยุดยั้งหรือเพิกถอน ไม่ให้การสนับสนุนหรือยอมรับ สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ (1) การไม่ให้ความร่วมมือทาง สังคม (2) การไม่ให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ อาทิ การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ และ (3) การไม่ให้ความร่วมมือทางการเมือง เช่น เกาหลีเหนือ ประเทศในเอเชียที่สันโดษแห่งนี้ อยู่ภายใต้การคว่ำบาตรของสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) จากโครงการขีปนาวุธทิ้งตัวและนิวเคลียร์ แล้วก็เมียนมา ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้ถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐ และประเทศอื่น ๆ จากการละเมิดสิทธิมนุษยชน

9. อารยะขัดขืน เป็นเรื่องของการขัดขืนอำนาจรัฐ การจำกัดอำนาจรัฐโดยพลเมืองด้วยวิธีการอย่างอารยะ คือ เป็นไปโดยเปิดเผย ไม่ใช้ความรุนแรง และยอมรับผลตามกฎหมายที่จะเกิดขึ้นกับตัวผู้ใช้สันติวิธีแนวนี้ เพื่อให้สังคมการเมือง เป็นธรรม มีการเคารพสิทธิเสรีภาพของคนมากขึ้น และเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น